วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ไม่ได้บันทึกนาน กับ blog spot เปลี่ยนไป

ปี 2555 ไม่ได้เข้ามาบันทึกอะไรเลย เผลอแป๊ปเดียว เดือนกันยายนแล้ว จะสิ้นปีละ ช่วงเวลาที่สำคัญที่เราจำได้น่ะเหรอ อืม.....

ก็เริ่มจาก ได้ย้ายทีม จากทำงานเป็นกะ มาเป็นทำงาน ออฟฟิศ มีเวลาว่างเพิ่มมากขึ้น แต่เงินลดลง ==" ไม่เป็นเรา เราถือว่าสุขภาพต้องมาก่อน  ลืมบอกไป ย้ายมาช่วง มีนาคม

หลังจากนั้น ช่วงเมษายน ได้ทำการบวชเป็นพระภิกษุเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ช่วงเวลาที่บวชก็รู้สึกดี ได้อะไรดีๆมากมาย แต่เสียดาย เราบวชแค่ 7 วัน 

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เราต้องหาอะไรทำให้ชีวิตมันมีรสชาติสักหน่อยละ ค่อยก่อนแล้วกัน สิ้นปีนี้ได้รถ จะไปที่ๆอยากไป อยากทำอะไรที่ตอนเด็กๆ แล้วก็ตอนเรียนอยู่ไม่เคยได้ทำ หรือไม่มีโอกาสได้ทำ 


ชีวิตเป็นของเรา  อีกอย่างชีวิตมันสั้นนัก ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกถึงเมื่อไหร่

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จะสิ้นปีแล้ว.....

เวลาใกล้สิ้นปีทีไร มันมีความรู้สึกว่า เวลานี่มันผ่านไปรวดเร็วจริงๆเน๊าะ ว่ามั๊ย ถ้านึกกลับไปตั้งแต่ต้นปี มันมีเหตุการณ์อะไรมากมายให้น่าจดจำ ทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ปนกันไป แต่ชีวิตมันก็ต้องอย่างงี้แหละ มันถึงจะเรียกว่า ชีวิต

เริ่มที่การได้งานใหม่ช่วงต้นปี ย้ายมาจาก กรุงเทพ แล้วมาอยู่ที่โคราช รู้สึกว่าอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปเยอะมาก โชคดีที่อยู่ใกล้บ้านด้วย เดินทางไม่กี่ชั่วโมง ดีกว่าอยู่ กรุงเทพเยอะ อากาศดี มีเพื่อนมากมาย

ปีนี้ก็มีสาวๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ให้หัวใจพองโตเป็นช่วงๆ แต่สุดท้ายแล้วก็แห้วมาทุกคน ฮ่าๆ อย่างว่า ความผิดพลาดเป็นบทเรียน ช่วงนี้ผมเป็นมังสวิรัต กินแห้วบ่อย
==" ต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ทำให้ผมมีความสุขในบางเวลา เรายังเป็นเพื่อนที่ดี พี่น้องที่ดีกันได้นะ ^^

ปีนี้ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้าง ที่ประทับใจก็เชียงคาน เพราะชอบหมอกในตอนเช้า กับบรรยากาศถนนคนเดินในช่วงเวลากลางคืน ชอบมากกกก

ก็เป็นอย่างนี้ทุกที ตอนแรกคิดไว้เยอะแยะมากเลยว่าจะเขียนอะไร แต่พอได้มาเขียนกลับสั้นนิดเดียว

ล่าสุดผมก็สอบ CCNA ผ่านอีกละ อีกสามปีเจอกันใหม่นะครับ หลังจากซุ่มอ่านมานาน ยังไงก็ยังอยากจะทบทวนความรู้สายนี้เหมือนเดิม

สิ้นปีนี้คงไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเอง จะเอาเงินที่ได้ไปทำห้องให้แม่นอนสบายๆ บ้าง แม่ลำบากมาเยอะแล้ว ถึงจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ก็ยอม ^^ รักแม่ที่สุด


ลาก่อน สิ่งไม่ดีในปีนี้ ปีใหม่ ขอให้มีอะไรดีๆเข้ามาบ้างนะครับ

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จะทำได้มั๊ย

ตื่นมาตอนสายๆ มาเปิด FB เหมือนทุกวัน แล้วก็นั่งดู status ชาวบ้านเค้าไปทั่ว ทั้งที่รู้จักแล้วก็ไม่รู้จัก คิดมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า มันมีประโยชน์อะไรกะเรามั่ง ที่วันๆมานั่งดู status ชาวบ้าน แล้วก็กด like หรือไม่ก็ comment จริงๆข้อดีมันดีมีนะ แต่ผมมองว่าข้อเสียมันเยอะกว่า ในโลกที่ใครๆก็สามารถจะแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากมายในโลก internet ทำให้ข้อมูลหลายๆอย่างต้องเอามาวิเคราะห์หลายๆขั้นกว่าจะได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่ว่าจุดนี้ไม่ใช่ประเด็นของเรื่องนี้

ประเด็นคือ จะท้าทายตัวเองด้วยการไม่เล่น FB สักวันก่อนแล้วกัน เริ่มตอนนี้เลย รู้สึกว่าเราจะติดมันเกินไปละ เข้าได้ทุกวันหลังอาหารสามมื้อและก่อนนอน แล้วก็ปรับไปเป็นสามวัน เจ็ดวัน สัปดาห์ แล้วก็เป็นเดือน ถ้าเปรียบ FB เหมือนผู้หญิงคนนึงก็เหมือนกับว่า เราจะเริ่มถอยห่างจากผู้หญิงคนนี้แล้วนะ จะไม่วุ่นวายกับชีวิตเค้าแล้ว ไม่ใช่ว่าเค้าไม่ดี แต่เพราะเราไม่อยากจะคิดหรือไปวุ่นวายอะไรกับชีวิตเค้าแล้ว

ว่าแล้วช่วงนี้ก็ว่าจะ re Cert. CCNA ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย จะไปสอบปลายปีนี้แหละ ต้องทำให้ได้ กำลังใจก็เอาจากตัวเองนี่แหละ ไม่มีให้เขาจะให้เราหรอก สู้ต่อไป วิศวะน้อย ได้แต่คอย ฮ่าๆ

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันแม่....

12 สิงหาคม ของทุกปี จะเป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวันของคนไทยทุกคน นั่นก็คือ วันแม่แห่งชาติ ซึ่งจะเป็นวันที่หลายๆคนจะคิดถึงแม่มากที่สุด รวมถึงตัวผมเอง
ถ้าจะให้เล่าความดีของแม่ ผมว่าเล่าทั้งวันคงไม่หมด เพราะนี่แหละคือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่รักเรามากที่สุด ที่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กจนโต

ผมเป็นลูกคนเดียว และแน่นอนแม่จะหวงที่สุด หุๆ ก็อยู่กับแม่ตั้งแต่เล็กจนโต แล้วก็มาตามหาความฝันของตัวเอง เออ..เกือบลืม ยังมีคุณยายอีกคนที่ท่านก็เหมือนกับแม่เราเหมือนกัน คอยอบรมสั่งสอน คอยดูแลตลอดเวลา จริงๆก็ไม่อยากจะเขียนหัวข้อนี้หรอก น้ำตาจะไหลเวลานึกถึงแม่ ฮ่าๆ...

จริงๆก็ไม่อยากจะบอกอะไรกับแม่มากมาย เพราะที่ผ่านมา เราทั้งสองคนแม่ลูกจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว อยากให้เรื่องนี้รู้แค่เราเพียงสองคน ^^ อาจจะเป็นลูกที่เคยทำให้แม่เสียใจมาบ้าง แต่ลูกคนนี้จะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกแล้ว จากที่เคยถูกแม่ดูแลมาตลอด หลังจากนี้ผมจะกลับไปเลี้ยงดูคุณแม่เอง

พรุ่งนี้ลูกจะกลับบ้านแล้วก็จะไปหาแม่ มีของขวัญให้ด้วยแหละ รอก่อนนะค๊าบ......

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เด็กติดเกมส์

ช่วงเวลาเย็นๆ แล้วเปิดเพลงเย็นๆ หรือเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกดี มันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขจริงๆสำหรับผม มันเป็นเวลาที่ความคิดในสมองมีมากมายเหลือเกิน มีเรื่องราวมากมายที่จะเขียนเป็นสมุดบันทึกสักเล่ม แต่.... เวลาเขียนจริงๆ มันกลับไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป =="

ช่วงนี้วันหยุดนอกจากจะไปหาเพื่อนๆแล้ว สิ่งที่ทำเป็นประจำก็คือ เล่นเกมส์ ถ้าเกิดคิดเป็นเวลาทั้งหมดที่เล่นเกมส์มานี่คงเสียไปเวลาไปประมาณ 1 ปีได้มั้ง เพราะเท่าที่จำได้ผมเล่นเกมส์ตั้งแต่อายุประมาณ 10 ขวบ เครื่องเกมที่ได้จับเครื่องแรกน่าจะเป็น super famicom จอยสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปุ่มกด a b สีแดงและสีดำ จำได้ขนาดนั้น ฮ่าๆ เล่นบ่อยๆก็คง contra,mario,เกมส์ต่อสู้ etc. เป็นคนติดเกมส์มากจนต้องแอบขโมยตังค์แม่ไปเล่น กิจวัตรประจำวันก็จะเหมือนเดิมช่วงวันหยุด ตื่นนอน กินข้าวเช้า เล่นเกมส์ เที่ยงกลับมากินข้าว เล่นเกมส์ แล้วก็กลับมาบ้าน บางครั้งแม่ก็มาเล่าให้ฟังว่า พ่อแม่คนอื่นไม่ให้ลูกเค้ามาเล่นกับเรา เพราะเราติดเกมส์ ซึ่งปกติก็ไม่ได้ชวนใครมาเล่นด้วยอยู่แล้ว สงสัยกลัวลูกเขาเสียคน .

พอโตมาหน่อยก็ถึงยุค play station 1 เล่นตั้งแต่ชั่วโมง 60 บาท ถึง ชั่วโมง 10 บาทปัจจุบัน เฮอๆ สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดคือ ได้เป็นสมาชิกคนแรกของร้านเกมส์ร้านหนึ่ง ไปทุกวันจนเจ้าของร้านจำหน้าได้ สนิทเลยแหละ จริงๆถ้าเกิดเอาเงินที่เช่าเกมส์มาซื้อเครื่องเกมส์เล่นเองก็คงได้เครื่องเล่นที่บ้านแล้ว พอถึงช่วง ม.ปลายก็ซื้อเครื่องเกมมาเล่นเองที่บ้าน เล่นกับหลาน ก็สนุกดี

ปัจจุบันก็มาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ พ่วงด้วยเล่นแบบออนไลน์ เราก็ยังคงเล่นอยู่ และน่าจะยังคงเล่นมันต่อไป เพราะมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว....

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยังไม่พ้นขีดอันตราย

อ่านหัวข้อแล้วอย่างเพิ่งตกใจนะครับ มันเป็นแค่ชื่อเพลงของ peacemaker เนื้อหาประมาณว่าผู้ชายคนนึงถูกผู้หญิงที่เคยเป็นแฟนบอกเลิก หลังจากนั้นน่ะเหรอ ผู้ชายตัดสินใจไปอยู่เวียดนาม เหตุผลน่ะเหรอ ง่ายมากครับ อยากจะหนีไปให้ไกล จากผู้หญิงที่เขาเคยรัก ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินเรื่องเขา ผมรับรู้อารมณ์นี้เลย เพราะผมก็เคยเป็นอย่างนี้มาเหมือนกัน เข้าเรื่องเลยดีกว่า

ครั้งแรกก็คือเรียนจบ ป.ตรี แล้วตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพ เหตุผลคือไม่อยากทำงานใกล้บ้าน ไม่อยากกลับไปเจอคนที่อยู่แถวบ้าน

ครั้งที่สอง เป็นการตัดสินใจที่บ้ามากครั้งนึงในชีวิต เพราะอกหักจากผู้หญิงคนนึงซึ่งเขาเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจอย่างนี้ จากทำงานอยู่กรุงเทพ ผมเลือกที่จะไปให้ไกลกว่าเดิม พอดีเป็นจังหวะที่ถือว่าโชคดีมาก ผมได้ไปทำงานกลางทะเลอ่าวไทย ไกลสมใจมาก ต้องไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่สงขลา ทำอยู่นั่นเป็นเวลา 6 เดือน ไม่ติดต่อใคร เพื่อนไม่รู้ มีแต่แม่ที่รู้ว่าผมไป มันเป็นอะไรที่อาร์ทมากๆ แต่ผมก็ได้ประสบการณ์จากที่นั่นมากมาย ได้เดินทาง ได้เห็นอะไรหลายอย่าง

จนครั้งล่าสุด หรือเปล่า ย้ายมาอยู่โคราช ใกล้บ้านละ เนื่องจากทำใจได้มากขึ้น ทุกอย่างกลับเป็นปกติ พร้อมที่จะยอมรับความเจ็บปวดอีกครั้ง และแล้ว ก็ได้เจอความเจ็บปวดสมใจ ผมชอบคนๆนึง ซึ่งเราก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน เขาก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีคนชอบมากมาย ผมก็เคยบอกกับตัวเองหลายครั้งว่าอย่าเข้าไปลึกจนเกินไป แต่อย่างว่า ความรักมันไม่สามารถจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลทั้งหมด ผมถลำเข้าไปลึกจนกลับออกมาไม่ได้ และตอนจบของเรื่องน่ะเหรอ ผมก็แห้วเหมือนเดิมแหละครับ แต่มันแปลกตรงที่ว่า ครั้งนี้ ผมรู้สึกว่า มันเป็นการรวมสุดยอดความผิดหวังในความรักทั้งหมดของผม มันเหมือนระเบิดเวลาที่ถึงเวลาที่ต้องระเบิดออกมาแล้ว มันไม่ไหวแล้ว น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกเดิมๆที่สัมผัสได้ เธอไม่ได้คิดกับผมไปมากกว่า "คนรู้จักกัน"

และผมก็ทำเหมือนเดิม เก็บตัวเงียบ และรอ รอเวลาที่ผมจะต้องเดินทางอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ บอกตรงๆ ผมยังทำใจกับคนๆนี้ไม่ได้ ผมยังชอบเขาอยู่ แต่ก็ต้องพยายามทำตัวให้ห่างจากเธอ เพราะผมกลัวว่าผมจะห้ามใจตัวเองไม่ได้อีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ได้เวลา คิดจริง ทำจริง เลิกเพ้อ เลิกงี่เง่า แล้ว!!!!

วันนี้ วันที่ 5 พ.ค. 2554 จะเป็นอีกวันที่จะบันทึกไว้ว่า ผมจะจริงจังกับตัวเองแล้ว จะรักตัวเองบ้างแล้ว หลังจากที่ทำทุกอย่างเพื่ออีกคน โดยไม่เคยเป็นห่วงตัวเองเลย เบื่อที่จะตาม เบื่อที่จะคิดไปเอง เบื่อที่จะคิดมาก ในเรื่องที่มันงี่เง่า เบื่อที่จะเป็น ควายเผือก!!!!!

ตอนนี้เราต้องสร้างเป้าหมายให้ตัวเองบ้างแล้ว ความอดทนบางครั้งมันก็มีวันสิ้นสุดเหมือนกันนะโว๊ย!!!!!!! คอยดูแล้วกัน จะทำให้ได้ภายในอีกห้าปีนี้